แหล่งที่มาของข้อมูล https://health.kapook.com/view139445.html
ITGENED
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2562
งดมื้อเย็นไม่ช่วยลดความอ้วน แถมเบิร์นไขมันออกยากกว่าเดิมอีก
งดมื้อเย็นลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนักชวนเข้าใจผิดกันมานาน ทั้งที่จริงแล้วการงดมื้อเย็นอันตรายต่อสุขภาพ และยังอาจทำให้ระบบเผาผลาญพัง จนลดน้ำหนักไม่สำเร็จ
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
อัตราการเต้นของหัวใจก็เป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพดี เชื่อหรือไม่ว่าคนที่หัวใจเต้นช้าจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่หัวใจเต้นเร็ว
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
ถ้าพูดถึงการมีสุขภาพดีและอายุยืน หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ถ้าหากเราใส่ใจออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นใส่ใจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจที่สำคัญต่อร่างกายมากที่สุด และการรักษาสุขภาพหัวใจที่ดีที่สุดก็คือการทำให้หัวใจแข็งแรงและสามารถสูบฉีดเลือดได้มากขึ้นโดยที่อัตราการเต้นของหัวใจน้อยลงนั่นเอง
ฟังดูอาจจะแปลกจนน่าสงสัย แต่การที่หัวใจของเราเต้นช้าลงนี่ล่ะค่ะคือวิธีที่จะทำให้เรามีชีวิตยืนยาวได้ แล้วเราจะทำให้หัวใจของเราเต้นช้าลงได้อย่างไร อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลงขนาดไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปล้วงลึกกันถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้น รับรองว่าประโยชน์ของการที่มีหัวใจเต้นช้าจะทำให้คุณต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแน่นอนค่ะ
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
อัตราการเต้นของหัวใจ คือ อัตราความเร็วของการบีบตัวของหัวใจเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน่วยในการวัดเป็นครั้งต่อนาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการ ยืน นั่ง เดิน นอน และขึ้นอยู่กับสภาวะความเครียด รวมทั้งสุขภาพร่างกายโดยรวมของคนเรา
อัตราการเต้นของหัวใจไม่เพียงแต่ช่วยทำให้เราทราบได้ถึงสภาวะความผิดปกติของร่างกายของเราเท่านั้น แต่มันยังช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของหัวใจได้อีกด้วย ยิ่งหัวใจเต้นเร็วก็แปลว่าประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อหัวใจของเราไม่ดีพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ ตรงข้ามกับหัวใจเต้นช้าที่แปลว่ากล้ามเนื้อหัวใจของเราสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้โดยไม่ต้องบีบตัวบ่อย ๆ ตัวอย่างเช่นนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย คนเหล่านี้จะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ต่ำ แต่กลับมีสุขภาพแข็งแรงเนื่องมาจากหัวใจของพวกเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้ไม่ต้องบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดไปร่างกายบ่อย ๆ ค่ะ
อัตราการเต้นของหัวใจเท่าไรถึงจะดี
โดยปกติแล้วในช่วงเวลาพักผ่อน หัวใจของคนเราจะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 72 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที ส่วนในทารกและเด็กเล็กจะมีอัตราชีพจรอยู่ที่ 90-140 ครั้งต่อนาที แต่สำหรับนักกีฬาที่ถูกฝึกเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็อาจจะมีอัตราการเต้นของหัวใจเพียง 30-50 ครั้งต่อนาที ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรจะมีอัตราการเต้นของหัวใจเกิน 100 ครั้งต่อนาที เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ โดยมีการศึกษาในประเทศเดนมาร์กที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Heart ที่ทำการศึกษากับชายวัยกลางคนกว่า 3,000 คน เป็นเวลา 16 ปี พบว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นมากกว่า 90 ครั้งต่อนาทีมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าถึง 3 เท่า
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
วิธีการวัดชีพจร
ชีพจรคืออัตราที่หลอดเลือดหดและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจสามารถวัดได้หลายที่ในร่างกาย เช่น บริเวณข้อมือทางด้านนิ้วหัวแม่มือ ขมับ มุมกระดูกขากรรไกรล่าง ข้าง ๆคอ ข้อพับแขน ขาหนีบ บริเวณขาพับ และบนหลังเท้าทางนิ้วหัวแม่เท้า โดยเราสามารถสังเกตได้ว่าบริเวณนั้นใช่บริเวณที่วัดชีพจรได้หรือไม่จากการจับดู จะรู้สึกว่ามีเส้นหยุ่น ๆ แน่น ๆ ส่วนวิธีการจับชีพจรมีดังนี้
วางปลายนิ้วมือ 2 นิ้วได้แก่ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง เบา ๆ ที่บริเวณเส้นชีพจร และไม่ควรใช้นิ้วหัวแม่มือ เพราะว่าชีพจรบริเวณนิ้วหัวแม่มือของเรานั้นเต้นแรง อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้
นับจำนวนชีพจรที่จับได้ไปพร้อมกับการจับเวลาโดย วิธีการคำนวณชีพจรมี 3 วิธี ได้แก่
- การคำนวณแบบเร็ว ซึ่งจะนับจำนวนชีพจรที่เต้นภายในเวลา 10 วินาที แล้วคูณด้วย 6 ตัวอย่างเช่น ในเวลา 10 วินาที นับชีพจรได้ทั้งหมด 12 ครั้ง ให้นำมาคูณ 6 ก็จะได้เป็น 12 x 6 = 72 ครั้งต่อนาที
- การจับชีพจนแบบละเอียด แบบ 30 วินาที แล้วคูณด้วย 2 หรือ ตัวอย่างเช่น ในเวลา 30 วินาที นับชีพจรได้ 35 ครั้ง ให้นำมาคูณ 2 ก็จะได้เป็น 35 x 2 = 70 ครั้งต่อนาที
- การจับชีพจนแบบละเอียด แบบ 60 วินาที วิธีนี้สามารถนำจำนวนที่นับได้มาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องคำนวณใด ๆ เพราะเป็นการจับชีพจรครบ 1 นาที แล้วค่ะ
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
หัวใจเต้นช้า ดีอย่างไร
หัวใจที่เต้นช้าไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้คนเราไม่เหนื่อยเร็วอีกด้วย นอกจากนี้การที่หัวใจเต้นช้าลงก็จะทำให้หลอดเลือดลดความตึงเครียดลง ทำให้เซลล์ในหัวใจได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เลือดที่ถูกสูบมีออกซิเจนมากขึ้น และร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ค่ะ ซึ่งก็จะทำให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้นค่ะ
แล้วหัวใจเต้นเร็ว ส่งผลร้ายอย่างไร
ในวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard Heart Letter ได้เปิดเผยเกี่ยวการศึกษาเมื่อ 60 ปีก่อนว่า ผู้ชายที่มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงจะมีแนวโน้มมีความดันโลหิตสูง มากกว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นหัวใจต่ำ เพราะการที่หัวใจเต้นเร็วจะทำให้เกิดความตึงเครียดของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้สมดุลระหว่างความต้องการออกซิเจนของหัวใจและความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดลดลง นอกจากยังพบอีกว่าการเต้นหัวใจที่เร็วกว่าปกติยังมีการเชื่อมโยงกับกับโรคหลอดเลือด การเสียชีวิตอย่างกระทันหัน และความเสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
ทำอย่างไรให้หัวใจเต้นช้าลง
การทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เพียงแค่เราลดความเครียด และหมั่นออกกำลังกาย รวมถึงการเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลิกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นอาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่หวาน หรือเค็มจัด นอกจากนี้ ในวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังได้แนะนำให้ทำสมาธิ ที่สามารถช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงได้อีกด้วยค่ะ
เห็นข้อดีของการที่หัวใจเต้นช้ากันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นอย่ามัวแต่รอช้า เรามาเริ่มออกกำลังกายและหมั่นดูแลสุขภาพเพื่อที่หัวใจจะได้แข็งแรงและไม่ทำงานหนักกันเลยดีกว่า ยิ่งเริ่มเร็วชีวิตก็ยิ่งยืนยาวขึ้นนะคะ
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
ถ้าพูดถึงการมีสุขภาพดีและอายุยืน หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ถ้าหากเราใส่ใจออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นใส่ใจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจที่สำคัญต่อร่างกายมากที่สุด และการรักษาสุขภาพหัวใจที่ดีที่สุดก็คือการทำให้หัวใจแข็งแรงและสามารถสูบฉีดเลือดได้มากขึ้นโดยที่อัตราการเต้นของหัวใจน้อยลงนั่นเอง
ฟังดูอาจจะแปลกจนน่าสงสัย แต่การที่หัวใจของเราเต้นช้าลงนี่ล่ะค่ะคือวิธีที่จะทำให้เรามีชีวิตยืนยาวได้ แล้วเราจะทำให้หัวใจของเราเต้นช้าลงได้อย่างไร อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลงขนาดไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปล้วงลึกกันถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้น รับรองว่าประโยชน์ของการที่มีหัวใจเต้นช้าจะทำให้คุณต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแน่นอนค่ะ
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
อัตราการเต้นของหัวใจ คือ อัตราความเร็วของการบีบตัวของหัวใจเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มีหน่วยในการวัดเป็นครั้งต่อนาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการ ยืน นั่ง เดิน นอน และขึ้นอยู่กับสภาวะความเครียด รวมทั้งสุขภาพร่างกายโดยรวมของคนเรา
อัตราการเต้นของหัวใจไม่เพียงแต่ช่วยทำให้เราทราบได้ถึงสภาวะความผิดปกติของร่างกายของเราเท่านั้น แต่มันยังช่วยบ่งบอกถึงสุขภาพของหัวใจได้อีกด้วย ยิ่งหัวใจเต้นเร็วก็แปลว่าประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อหัวใจของเราไม่ดีพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้อย่างเพียงพอ ตรงข้ามกับหัวใจเต้นช้าที่แปลว่ากล้ามเนื้อหัวใจของเราสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้โดยไม่ต้องบีบตัวบ่อย ๆ ตัวอย่างเช่นนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย คนเหล่านี้จะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่ต่ำ แต่กลับมีสุขภาพแข็งแรงเนื่องมาจากหัวใจของพวกเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้ไม่ต้องบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดไปร่างกายบ่อย ๆ ค่ะ
อัตราการเต้นของหัวใจเท่าไรถึงจะดี
โดยปกติแล้วในช่วงเวลาพักผ่อน หัวใจของคนเราจะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 72 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที ส่วนในทารกและเด็กเล็กจะมีอัตราชีพจรอยู่ที่ 90-140 ครั้งต่อนาที แต่สำหรับนักกีฬาที่ถูกฝึกเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็อาจจะมีอัตราการเต้นของหัวใจเพียง 30-50 ครั้งต่อนาที ซึ่งผู้ใหญ่ไม่ควรจะมีอัตราการเต้นของหัวใจเกิน 100 ครั้งต่อนาที เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ โดยมีการศึกษาในประเทศเดนมาร์กที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Heart ที่ทำการศึกษากับชายวัยกลางคนกว่า 3,000 คน เป็นเวลา 16 ปี พบว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นมากกว่า 90 ครั้งต่อนาทีมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าถึง 3 เท่า
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
วิธีการวัดชีพจร
ชีพจรคืออัตราที่หลอดเลือดหดและขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจสามารถวัดได้หลายที่ในร่างกาย เช่น บริเวณข้อมือทางด้านนิ้วหัวแม่มือ ขมับ มุมกระดูกขากรรไกรล่าง ข้าง ๆคอ ข้อพับแขน ขาหนีบ บริเวณขาพับ และบนหลังเท้าทางนิ้วหัวแม่เท้า โดยเราสามารถสังเกตได้ว่าบริเวณนั้นใช่บริเวณที่วัดชีพจรได้หรือไม่จากการจับดู จะรู้สึกว่ามีเส้นหยุ่น ๆ แน่น ๆ ส่วนวิธีการจับชีพจรมีดังนี้
วางปลายนิ้วมือ 2 นิ้วได้แก่ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง เบา ๆ ที่บริเวณเส้นชีพจร และไม่ควรใช้นิ้วหัวแม่มือ เพราะว่าชีพจรบริเวณนิ้วหัวแม่มือของเรานั้นเต้นแรง อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้
นับจำนวนชีพจรที่จับได้ไปพร้อมกับการจับเวลาโดย วิธีการคำนวณชีพจรมี 3 วิธี ได้แก่
- การคำนวณแบบเร็ว ซึ่งจะนับจำนวนชีพจรที่เต้นภายในเวลา 10 วินาที แล้วคูณด้วย 6 ตัวอย่างเช่น ในเวลา 10 วินาที นับชีพจรได้ทั้งหมด 12 ครั้ง ให้นำมาคูณ 6 ก็จะได้เป็น 12 x 6 = 72 ครั้งต่อนาที
- การจับชีพจนแบบละเอียด แบบ 30 วินาที แล้วคูณด้วย 2 หรือ ตัวอย่างเช่น ในเวลา 30 วินาที นับชีพจรได้ 35 ครั้ง ให้นำมาคูณ 2 ก็จะได้เป็น 35 x 2 = 70 ครั้งต่อนาที
- การจับชีพจนแบบละเอียด แบบ 60 วินาที วิธีนี้สามารถนำจำนวนที่นับได้มาใช้ได้เลยโดยไม่ต้องคำนวณใด ๆ เพราะเป็นการจับชีพจรครบ 1 นาที แล้วค่ะ
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
หัวใจเต้นช้า ดีอย่างไร
หัวใจที่เต้นช้าไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้คนเราไม่เหนื่อยเร็วอีกด้วย นอกจากนี้การที่หัวใจเต้นช้าลงก็จะทำให้หลอดเลือดลดความตึงเครียดลง ทำให้เซลล์ในหัวใจได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เลือดที่ถูกสูบมีออกซิเจนมากขึ้น และร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ค่ะ ซึ่งก็จะทำให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้นค่ะ
แล้วหัวใจเต้นเร็ว ส่งผลร้ายอย่างไร
ในวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard Heart Letter ได้เปิดเผยเกี่ยวการศึกษาเมื่อ 60 ปีก่อนว่า ผู้ชายที่มีอัตราการเต้นของหัวใจสูงจะมีแนวโน้มมีความดันโลหิตสูง มากกว่าผู้ที่มีอัตราการเต้นหัวใจต่ำ เพราะการที่หัวใจเต้นเร็วจะทำให้เกิดความตึงเครียดของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้สมดุลระหว่างความต้องการออกซิเจนของหัวใจและความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดลดลง นอกจากยังพบอีกว่าการเต้นหัวใจที่เร็วกว่าปกติยังมีการเชื่อมโยงกับกับโรคหลอดเลือด การเสียชีวิตอย่างกระทันหัน และความเสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
หัวใจเต้นช้า อายุยิ่งยืนยาว
ทำอย่างไรให้หัวใจเต้นช้าลง
การทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เพียงแค่เราลดความเครียด และหมั่นออกกำลังกาย รวมถึงการเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลิกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นอาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่หวาน หรือเค็มจัด นอกจากนี้ ในวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังได้แนะนำให้ทำสมาธิ ที่สามารถช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายลงได้อีกด้วยค่ะ
เห็นข้อดีของการที่หัวใจเต้นช้ากันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นอย่ามัวแต่รอช้า เรามาเริ่มออกกำลังกายและหมั่นดูแลสุขภาพเพื่อที่หัวใจจะได้แข็งแรงและไม่ทำงานหนักกันเลยดีกว่า ยิ่งเริ่มเร็วชีวิตก็ยิ่งยืนยาวขึ้นนะคะ
แหล่งที่มาเนื้อหา https://health.kapook.com/view104601.html
แหล่งที่มาวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=BVSnTgKQDJg
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
บอระเพ็ด สมุนไพรรสขม สรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
หวานเป็นลมขมเป็นบอระเพ็ด ที่มีสรรพคุณเด็ดดวง แก้ไข้ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร ของดีที่คนรักสุขภาพพลาดไม่ได้
บอระเพ็ด
คำโบราณที่ว่าไว้ หวานเป็นลม ขมเป็นยา เป็นความจริงที่เถียงก็ยาก ดูอย่างบอระเพ็ด สมุนไพรรสขมปี๋ชนิดนี้ ที่ข้างในมีดีอยู่เยอะแยะ มาลองทำความรู้จักสรรพคุณของบอระเพ็ดกันดีกว่า เห็นว่าช่วยลดไข้ แก้ร้อนใน ช่วยให้เจริญอาหาร และยังช่วยบรรเทาได้อีกหลายอาการป่วย
บอระเพ็ด กับความเด็ดที่น่าสนใจ
บอระเพ็ดมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Tinospora cordifolia ชื่อวิทยาศาสตร์ของบอระเพ็ดคือ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f&Thomson จัดเป็นไม้เถาอยู่ในวงศ์ Menispermaceae และนอกจากชื่อบอระเพ็ดแล้ว ในบ้านเรายังเรียกบอระเพ็ดในอีกหลาย ๆ ชื่อ เช่น ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน หางหนู จุ่งจิง เครือเขาฮอ เจตมูลหนาม หรือจุ้งจาลิงตัวแม่
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด ลักษณะทางพฤกศาสตร์อย่างเด่น
บอระเพ็ดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวได้ถึง 15 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร เปลือกเถาหนา 1.5-2.5 มิลลิเมตร ผิวบอระเพ็ดเป็นสีน้ำตาล เนื้อในมีสีเทาแกมเหลือง เถามีลักษณะกลม ผิวเปลือกเถาขรุขระเป็นปุ่มกระจายไปทั่ว และเมื่อแก่จะเห็นปุ่มปมเหล่านี้หนาแน่นและชัดเจนมาก
เปลือกเถาบอระเพ็ดมีรสขม ลอกออกได้ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบบอระเพ็ดมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ ก้านใบยาว 8-10 เซนติเมตร ส่วนดอกบอระเพ็ดจะออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ลักษณะดอกบอระเพ็ดมีสีเขียวอมเหลือง ดอกขนาดจิ๋ว ผลรูปร่างค่อนข้างกลม มีสีเหลืองหรือสีแดง
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด สรรพคุณเด็ดดวง
สรรพคุณของบอระเพ็ดหลัก ๆ แล้วจัดเป็นสมุนไพรแก้ไข้ ลดความร้อนในร่างกาย โดยประโยชน์ของบอระเพ็ดสามารถจำแนกได้ ดังนี้
1. แก้ไข้
บอระเพ็ด
เถาบอระเพ็ดมีรสขมจัด สรรพคุณช่วยแก้ไข้ทุกชนิด โดยใช้เถาแก่สดหรือต้นสด 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มเป็นยาขมวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
2. ช่วยเจริญอาหาร แก้เบื่ออาหาร
ใช้เถาแก่สดหรือต้นสด 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มเป็นยาขมวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ หรือบดเป็นผง ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า, เย็น
3. บำรุงกำลัง
ต้นบอระเพ็ดสามารถนำมาต้มเป็นยาขมดื่มบำรุงกำลัง บำรุงธาตุได้ โดยใช้ต้นบอระเพ็ดล้างสะอาด ประมาณ 2 คืบครึ่ง ตำให้แหลกแล้วมาคั้นเอาแต่น้าไปดื่มบำรุงกำลัง หรือจะต้มตำรับเดียวกับยาลดไข้ก็ได้เช่นกัน
4. รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
บอระเพ็ด
ในใบบอระเพ็ดมีสารที่ช่วยรักษาโรคผิวหนัง โดยเฉพาะอาการผดผื่นคัน โดยนำใบบอระเพ็ดล้างสะอาด ตำให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกตามจุดที่มีผื่นคัน หรือบริเวณผิวที่มีการอักเสบ เพราะสารในใบบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบได้
5. แก้ฝี แก้ฟกช้ำ
ใช้ใบบอระเพ็ดตำให้ละเอียดแล้วมาพอกฝี หรือแก้ฟกช้ำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
6. เป็นยาอายุวัฒนะ
ส่วนทั้ง 5 ของบอระเพ็ด คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล นำมาปรุงยาอายุวัฒนะได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปวดเมื่อย แก้ไข้ ปวดศีรษะ รักษาฟัน รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ฝีมดลูก แก้ร้อนใน ลดความร้อน แก้ดีพิการ แก้เสมหะ บำรุงเลือดลม และแก้ไข้จับสั่น เป็นต้น
7. ลดน้ำตาลในเลือด
บอระเพ็ด
ผลการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า บอระเพ็ดสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยภาวะอ้วนลงพุงที่รับประทานแคปซูลผงบอระเพ็ด ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือยาหลอกเป็นเวลา 2 เดือน ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มทดลองก่อนรับประทานบอระเพ็ด ทว่าการทดลองเรื่องบอระเพ็ดลดน้ำตาลในเลือดจำเป็นต้องศึกษาลึกไปกว่านี้เพื่อความชัดเจนและถูกต้องของข้อมูล
บอระเพ็ด ลดน้ำหนักได้ไหม
ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่าบอระเพ็ดช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งแพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนและเวชศาสตร์ด้านการฝังเข็มและฟื้นฟูชะลอวัยประจำชีวจิตโฮมคลินิก อธิบายว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบอระเพ็ดช่วยลดความอ้วนได้ ดังนั้นการนำบอระเพ็ดมาช่วยลดความอ้วนอาจต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป เพราะในบางคนฤทธิ์จากบอระเพ็ดจะเข้าไปลดความร้อนในร่างกาย และอาจมีผลทำให้เจริญอาหารได้
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด โทษและข้อควรระวังก็มีนะ
แม้สรรพคุณบอระเพ็ดจะมีพอตัว แต่หากกินไม่ระวังก็อาจเป็นโทษต่อร่างกายได้ ดังนี้
1. หากกินบอระเพ็ดเป็นระยะเวลานาน (ติดต่อกัน 8 สัปดาห์) อาจก่อผลเสียต่อตับ
2. อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือเป็นโรคตับ โรคไต
ขมแล้วยังไง...ถ้าสรรพคุณดีเบอร์นี้ก็น่าลิ้มลองว่าไหมคะ แต่หากใครสนใจกินบอระเพ็ดแคปซูล ก็เตือนไว้นิดว่าอย่ากินติดต่อกันนานนัก อาจส่งผลกระทบกับตับและไตได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ
ศูนย์บริหารศัตรูพืช จังหวัดขอนแก่น
แหล่งที่มาของข้อมูล https://health.kapook.com/view206518.html
แหล่งที่มาของวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=kNvnr4OEKXQ
บอระเพ็ด
![]() |
บอระเพ็ด |
คำโบราณที่ว่าไว้ หวานเป็นลม ขมเป็นยา เป็นความจริงที่เถียงก็ยาก ดูอย่างบอระเพ็ด สมุนไพรรสขมปี๋ชนิดนี้ ที่ข้างในมีดีอยู่เยอะแยะ มาลองทำความรู้จักสรรพคุณของบอระเพ็ดกันดีกว่า เห็นว่าช่วยลดไข้ แก้ร้อนใน ช่วยให้เจริญอาหาร และยังช่วยบรรเทาได้อีกหลายอาการป่วย
บอระเพ็ด กับความเด็ดที่น่าสนใจ
บอระเพ็ดมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Tinospora cordifolia ชื่อวิทยาศาสตร์ของบอระเพ็ดคือ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f&Thomson จัดเป็นไม้เถาอยู่ในวงศ์ Menispermaceae และนอกจากชื่อบอระเพ็ดแล้ว ในบ้านเรายังเรียกบอระเพ็ดในอีกหลาย ๆ ชื่อ เช่น ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน หางหนู จุ่งจิง เครือเขาฮอ เจตมูลหนาม หรือจุ้งจาลิงตัวแม่
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด ลักษณะทางพฤกศาสตร์อย่างเด่น
บอระเพ็ดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวได้ถึง 15 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร เปลือกเถาหนา 1.5-2.5 มิลลิเมตร ผิวบอระเพ็ดเป็นสีน้ำตาล เนื้อในมีสีเทาแกมเหลือง เถามีลักษณะกลม ผิวเปลือกเถาขรุขระเป็นปุ่มกระจายไปทั่ว และเมื่อแก่จะเห็นปุ่มปมเหล่านี้หนาแน่นและชัดเจนมาก
เปลือกเถาบอระเพ็ดมีรสขม ลอกออกได้ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบบอระเพ็ดมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ ก้านใบยาว 8-10 เซนติเมตร ส่วนดอกบอระเพ็ดจะออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ลักษณะดอกบอระเพ็ดมีสีเขียวอมเหลือง ดอกขนาดจิ๋ว ผลรูปร่างค่อนข้างกลม มีสีเหลืองหรือสีแดง
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด สรรพคุณเด็ดดวง
สรรพคุณของบอระเพ็ดหลัก ๆ แล้วจัดเป็นสมุนไพรแก้ไข้ ลดความร้อนในร่างกาย โดยประโยชน์ของบอระเพ็ดสามารถจำแนกได้ ดังนี้
1. แก้ไข้
บอระเพ็ด
เถาบอระเพ็ดมีรสขมจัด สรรพคุณช่วยแก้ไข้ทุกชนิด โดยใช้เถาแก่สดหรือต้นสด 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มเป็นยาขมวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
2. ช่วยเจริญอาหาร แก้เบื่ออาหาร
ใช้เถาแก่สดหรือต้นสด 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มเป็นยาขมวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ หรือบดเป็นผง ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า, เย็น
3. บำรุงกำลัง
ต้นบอระเพ็ดสามารถนำมาต้มเป็นยาขมดื่มบำรุงกำลัง บำรุงธาตุได้ โดยใช้ต้นบอระเพ็ดล้างสะอาด ประมาณ 2 คืบครึ่ง ตำให้แหลกแล้วมาคั้นเอาแต่น้าไปดื่มบำรุงกำลัง หรือจะต้มตำรับเดียวกับยาลดไข้ก็ได้เช่นกัน
4. รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
บอระเพ็ด
ในใบบอระเพ็ดมีสารที่ช่วยรักษาโรคผิวหนัง โดยเฉพาะอาการผดผื่นคัน โดยนำใบบอระเพ็ดล้างสะอาด ตำให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกตามจุดที่มีผื่นคัน หรือบริเวณผิวที่มีการอักเสบ เพราะสารในใบบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบได้
5. แก้ฝี แก้ฟกช้ำ
ใช้ใบบอระเพ็ดตำให้ละเอียดแล้วมาพอกฝี หรือแก้ฟกช้ำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
6. เป็นยาอายุวัฒนะ
ส่วนทั้ง 5 ของบอระเพ็ด คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล นำมาปรุงยาอายุวัฒนะได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปวดเมื่อย แก้ไข้ ปวดศีรษะ รักษาฟัน รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ฝีมดลูก แก้ร้อนใน ลดความร้อน แก้ดีพิการ แก้เสมหะ บำรุงเลือดลม และแก้ไข้จับสั่น เป็นต้น
7. ลดน้ำตาลในเลือด
บอระเพ็ด
ผลการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า บอระเพ็ดสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยภาวะอ้วนลงพุงที่รับประทานแคปซูลผงบอระเพ็ด ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือยาหลอกเป็นเวลา 2 เดือน ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มทดลองก่อนรับประทานบอระเพ็ด ทว่าการทดลองเรื่องบอระเพ็ดลดน้ำตาลในเลือดจำเป็นต้องศึกษาลึกไปกว่านี้เพื่อความชัดเจนและถูกต้องของข้อมูล
บอระเพ็ด ลดน้ำหนักได้ไหม
ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่าบอระเพ็ดช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งแพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนและเวชศาสตร์ด้านการฝังเข็มและฟื้นฟูชะลอวัยประจำชีวจิตโฮมคลินิก อธิบายว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าบอระเพ็ดช่วยลดความอ้วนได้ ดังนั้นการนำบอระเพ็ดมาช่วยลดความอ้วนอาจต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป เพราะในบางคนฤทธิ์จากบอระเพ็ดจะเข้าไปลดความร้อนในร่างกาย และอาจมีผลทำให้เจริญอาหารได้
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด โทษและข้อควรระวังก็มีนะ
แม้สรรพคุณบอระเพ็ดจะมีพอตัว แต่หากกินไม่ระวังก็อาจเป็นโทษต่อร่างกายได้ ดังนี้
1. หากกินบอระเพ็ดเป็นระยะเวลานาน (ติดต่อกัน 8 สัปดาห์) อาจก่อผลเสียต่อตับ
2. อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือเป็นโรคตับ โรคไต
ขมแล้วยังไง...ถ้าสรรพคุณดีเบอร์นี้ก็น่าลิ้มลองว่าไหมคะ แต่หากใครสนใจกินบอระเพ็ดแคปซูล ก็เตือนไว้นิดว่าอย่ากินติดต่อกันนานนัก อาจส่งผลกระทบกับตับและไตได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ
ศูนย์บริหารศัตรูพืช จังหวัดขอนแก่น
แหล่งที่มาของข้อมูล https://health.kapook.com/view206518.html
แหล่งที่มาของวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=kNvnr4OEKXQ
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
เปลี่ยนอาหารจานธรรมดา ให้เป็น 2:1:1
การกินอาหารแบบ 2:1:1 (สัดส่วนใน 1 มื้อ ที่แบ่งเป็น ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน ) ไม่เคยทำให้ใครต้องอดอยากปากแห้งจนต้องมาตบะแตกทีหลัง เพราะเราอร่อยได้ทุกอย่างเหมือนที่เคย ขอเพียงแต่ปรับเปลี่ยนการคัดเลือกวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงอาหารสักหน่อย รับรองว่าอร่อยแถมได้สุขภาพดีไม่มีพุง ดังตัวอย่างเมนู "อร่อยเท่าเดิม เพิ่มเติมคือใส่ผัก" ต่อไปนี้
• ส้มตำข้าวเหนียวไก่ย่าง จัดผักไว้ข้าง ๆ สักกระจาด รับรองว่าได้ผักครึ่งหนึ่งแน่ ส่วนข้าวเหนียวขอเป็นไม่เกินหนึ่งทัพพี ในขณะที่ไก่ย่างอย่าให้เกรียมและต้องเลาะหนังออก ขนาดไม่เกินสองน่องเล็ก ๆ
• ข้าวกับน้ำพริกผักจิ้ม ตักข้าวอย่าให้เกินสองทัพพี แกงจืดตำลึงมาก ๆ หมูสับน้อย ๆ อีกหนึ่งถ้วยเล็ก ก็จะเข้าข่ายกินตามสูตร 2:1:1
• ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม แต่ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวแค่ 1 ทัพพี ลูกชิ้นประมาณ 5-6 ลูก หรือถ้าเป็นหมูสับประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ที่เหลือขอให้เป็นผักล้วน ๆ
• ปลานึ่งลุยสวน ผักล้วน ๆ แถมหลากหลาย จะผักสดหรือผักต้มนึ่งก็ไม่ผิดกติกา
• เมินใส่ไข่ดาว เพราะเราจะเปลี่ยนเป็นไข่ต้มแทน ซึ่งทำให้ร่างกายไม่ต้องรับพลังงานส่วนเกินที่ได้จากการทอดในน้ำมันลงไปถึงครึ่งหนึ่งเลย และยังเป็นเมนูสารพัดจะดัดแปลงได้ง่าย กินกับน้ำพริกก็ได้
• จะมีอะไรเข้าท่าได้มากกว่าต้มจับฉ่ายใส่สารพัดผัก ซึ่งเข้าสูตร 2:1:1 เป๊ะ เพราะไหนจะผักเยอะ น้ำมันน้อย เนื้อสัตว์พอเป็นพิธี แต่ไม่เอาหมูสามชั้นนะ
นอกจากนี้ ขอแถมด้วยเมนูอาหารเช้า ที่หลายคนอาจจะเคยชินกับของกินที่หาง่าย ๆ กินเร็ว ๆ เลยจะขอเสนอการปรับนิดเปลี่ยนหน่อยที่เฮลท์ตี้ ได้พลังงานที่น้อยลงกว่าเดิม จะได้ลดพุง ลดโรค ได้ เช่น
อาหาร/เครื่องดื่ม
แทนได้ด้วย
ข้าวขาว ข้าวกล้อง
ขนมปังขาว
ขนมปังโฮลวีท
ไข่เจียว ไข่ตุ๋น
ชาเขียว รสธรรมชาติ
ชาเขียว ไม่ใส่น้ำตาล
กาแฟเย็น ใส่นมข้น
กาแฟเย็น ใส่นมถั่วเหลือง / นมอัลมอนด์
นมเปรี้ยว
นมไขมัน 0%
ไก่ทอด ไก่ย่าง
หมูปิ้ง
ไข่ต้ม
ข้าวเหนียว
กล้วยหอม
ปาท่องโก๋
มันนึ่ง
วิถีการกินแบบ 2:1:1 จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ไม่มีข้อจำกัด เพราะประยุกต์ปรับเปลี่ยนได้ ซึ่งถ้าสามารถทำให้เป็นนิสัยควบคู่ไปกับการมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ลดพุง โรค
*** มารู้เรื่อง ลดพุง ลดโรค กันต่อได้ที่ thaihealthlifestyle.com หรือเฟซบุ๊กเพจ ลดพุง ลดโรค
แหล่งที่มาเนื้อหา : https://health.kapook.com/view205732.html
แหล่งที่มาวิดิโอ : https://www.youtube.com/watch?v=y3WLXfkmEfI
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562
เช็กสาเหตุไอเป็นเลือด ป่วยโรคอื่นอยู่หรือแพ้ฝุ่นพิษ !?
จากอาการที่หลายคนไอ-จามเป็นเลือด และมีผู้ต้องสงสัยเป็นฝุ่นพิษ PM2.5 เราลองมาดูกันว่า ไอเป็นเลือดเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
แหล่งที่มาเนื้อหา https://health.kapook.com/view205626.html
แหล่งที่มาวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=P7MBAsGytco
แหล่งที่มาวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=P7MBAsGytco
วิธีล้างจมูกลดฝุ่น PM2.5 แสบ-คัดจมูก ต้องเคลียร์ให้โล่ง


สีนร
การล้างจมูกมีประโยชน์ต่อร่างกายเราไม่น้อยนะคะ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเต็มไปด้วยมลพิษอย่างทุกวันนี้ ทำเอาหลายคนรู้สึกแสบจมูก คัดจมูก เลยเถิดไปถึงแสบคอกันเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาความไม่สบายข้างต้น เรามีวิธีล้างจมูกลดฝุ่น PM2.5 และมลพิษต่าง ๆ มาแนะนำ
แหล่งที่มาเนื้อหา https://health.kapook.com/view205501.html
แหล่งที่มาวิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=5MY4P_khps4
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์.. จิตตกเพราะสังคมออนไลน์ บำบัดได้ด้วยตัวเอง
เคยไถ ๆ นิ้วเล่นโซเชียลอยู่ดี ๆ แล้วรู้สึกหดหู่หรือนอยด์แปลก ๆ บ้างไหมคะ หรือนี่จะเป็นสัญญาณว่าเราควรทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ บำบัดสภาพจิตใจให้กลับมาสดใสเหมือนเมื่อก่อน...
ติดโซเชียล
ยุคดิจิทัลอะไรก็ง่ายไปหมด นี่คือข้อดีของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างสื่อโซเชียลมีเดียที่ไว เข้าถึงง่าย และเป็นความบันเทิงของหลาย ๆ คน แต่เหรียญมีสองด้านฉันใดก็ฉันนั้น เพราะการเสพติดโซเชียลมีเดียมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ เศร้า ซึม หรือความรู้สึกด้านลบขึ้นมาได้ และหากใครรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตสักเท่าไรในช่วงนี้ ลองมารู้จักวิธีบำบัดจิตใจด้วยโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ บ้างไหมคะ เผื่อชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ คืออะไร
เราอาจจะรู้จักว่าการดีท็อกซ์คือการเอาสารพิษออกจากร่างกาย แล้วโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ล่ะคืออะไร อธิบายง่าย ๆ ได้ว่า โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ (Social Media Detox) หรือดิจิทัลดีท็อกซ์ (Digital Detox) เป็นการบำบัดอาการเสพติดโซเชียลมีเดียจนก่อให้เกิดความทุกข์ ง่าย ๆ ก็คือวิธีพาตัวเองออกห่างจากสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นการพักใจ พักสมอง และเรียกคืนตัวเองกลับมา
ติดโซเชียล
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ใครควรทำบ้าง
ต้องยอมรับว่าทุกคนเล่นโซเชียลเกือบทั้งนั้น แล้วใครล่ะที่อาการน่าเป็นห่วง ควรทำดีท็อกซ์ตัวเองสักหน่อย ว่าแล้วก็เช็กอาการกันเลย
- เสพติดโซเชียลมีเดียขนาดหนัก เล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรมได้ทั้งวัน
- ทุกวันต้องโพสต์ข้อความ ถ่ายรูป อัปรูปลงโซเชียล
- รู้สึกกระวนกระวาย หงุดหงิด เมื่อไม่ได้เล่นโซเชียล คือถ้าแบตเตอรี่หมดนี่เหมือนพลังกายหมดไปด้วยเลย
- เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนในโซเชียล ตามติดชีวิตคนอื่นมากเกินไป
- มีความคาดหวังการยอมรับในสื่อสังคมออนไลน์ (ยอดไลก์ ยอดแชร์ เมื่อโพสต์สเตตัสหรือรูป)
- รู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองลดลงเมื่อไม่ได้รับการยอมรับในสังคมออนไลน์
- เล่นโซเชียลมีเดียแล้วไม่มีความสุข รู้สึกเซ็ง เบื่อชีวิต นอยด์ ๆ
- รู้สึกเครียด จิตตก กับการเสพข้อมูลข่าวสาร หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากเกินไป ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเรา
หากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้ลองทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ เพื่อเรียกคืนความสุขกลับมาให้ตัวเราเองค่ะ
ติดโซเชียล
โซเซียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ทำอย่างไร
วิธีทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ หรือดิจิทัล ดีท็อกซ์ ก็มีแนวทาง ดังนี้
1. ปิดโทรศัพท์มือถือ 1 วัน หรือเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ธรรมดาที่ไม่ใช่สมาร์ตโฟนอย่างน้อย 1 วัน
2. Log out เฟซบุ๊ก ไลน์ หรืออินสตาแกรมอย่างน้อย 1 วัน
ติดโซเชียล
3. ถ้าทำใจเลิกเล่นโซเชียลมีเดียไม่ได้ ให้ลองคัดเพื่อนในโซเชียลมีเดียให้เหลือแต่คนที่สนิทกันจริง ๆ
4. หากิจกรรมอื่นทำแทนเล่นโซเชียลมีเดีย
5. ออกท่องเที่ยวและสัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขด้วยสายตาตัวเอง โดยไร้ซึ่งสมาร์ตโฟน
ติดโซเชียล
6. ลองกลับไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบจริง ๆ
7. ปรับทัศนคติในการเล่นโซเชียลใหม่ จำไว้ว่าคนในโลกโซเชียลมักจะเสนอแต่แง่มุมดี ๆ ของตัวเองทั้งนั้น แต่จริง ๆ แล้วคนเราย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ช่วยอะไรได้บ้าง
ข้อดีของโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ นอกจากจะทำให้เรามีเวลาในชีวิตมากขึ้นแล้ว ยังมีข้อดีตามนี้เลย
1. มีเวลาได้ทบทวนตัวเอง
ติดโซเชียล
การตัดโซเชียลมีเดียออกจากชีวิต จะเปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนตัวเอง ได้คิดถึงความสุขที่แท้จริงของตัวเอง โดยไม่เอาความสุขของเราไปเปรียบเทียบกับความสุขของใคร
2. ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
หากไม่ได้เล่นโซเชียลแล้ว เราก็จะมีเวลาได้หากิจกรรมสนุก ๆ อื่น ๆ ทำ เป็นการลองหาสิ่งที่ตัวเองชอบ และได้เพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ
3. นอนหลับได้ดีขึ้น
ติดโซเชียล
การเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นการรบกวนฮอร์โมนการนอนหลับของร่างกาย ดังนั้นใครที่นอนหลับไม่สนิทมานาน คราวนี้ก็จะได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่สักที
4. รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น
เมื่อก่อนเราอาจจะผูกตัวเองไว้กับเสียงแจ้งเตือนไลน์ หรือคอยกังวลว่าใครจะทวีตมา คอยเช็กว่ายอดไลก์ในไอจีจะเยอะไหม แต่พอเราตัดสังคมออนไลน์ออกจากชีวิต เราก็ไม่ต้องพะวงถึงสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เหมือนปลดแอกตัวเองจากบ่วงโซเชียลมีเดียเลยล่ะ
5. ได้ฝึกสมาธิ
หลายคนกลายเป็นคนสมาธิสั้นเมื่อมีพฤติกรรมติดสมาร์ตโฟน แบบทุก ๆ 5 นาทีต้องเช็กมือถือ กินข้าว เข้าห้องน้ำ หรือทำกิจกรรมอะไรก็ต้องเล่นมือถือตลอดเวลา แต่หลังจากทำดีท็อกซ์แล้วเราจะรู้จักโฟกัสสิ่งรอบ ๆ ตัวมากขึ้น ได้ฝึกสมาธิไปในตัว
6. กระชับความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว
ติดโซเชียล
วางมือถือแล้วมาจับมือคนที่อยู่ใกล้ตัวเราดีกว่านะคะ เปลี่ยนจากจ้องหน้าจอมาจ้องตา ดูสีหน้าคนในครอบครัว ใช้เวลาพูดคุยกันให้มากขึ้น เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม
7. ได้ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น
ติดโซเชียล
การดูชีวิตคนอื่นผ่านสังคมออนไลน์มันเป็นการมองในด้านเดียวมาก ๆ ต่างจากการมองวิถีชีวิตของคนรอบ ๆ กาย อย่างตอนเช้าเราอาจได้เห็นความน่ารักของคู่แม่-ลูกบนรถไฟฟ้า หรือได้ยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินสวนกัน หรือได้ชื่มชมวิวดี ๆ กับแสงแดดยามเช้า เป็นต้น เห็นไหมว่าแค่เงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาก
8. คืนความเฮลธ์ตี้ให้ตัวเอง
ติดโซเชียล
นอกจากจะเป็นการพักสายตาแล้ว การห่างจากสมาร์ตโฟนยังช่วยถนอมการใช้ข้อมือของเราเองด้วย หรือบางคนที่วัน ๆ เอาแต่เล่นโซเชียลแล้วไม่ออกกำลังกาย ก็จะได้มีเวลาไปออกกำลังกายเพิ่มความสตรองให้สุขภาพบ้างแล้ว
9. รักตัวเองมากขึ้น
เมื่อไม่ต้องเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนในโลกออนไลน์ เราจะรู้สึกว่าชีวิตเราก็มีดี มีความสุข มีความชิลไปอีกแบบ และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารักตัวเองมากขึ้นนะคะ
ถ้าเล่นโซเชียลแล้วรู้สึกเซ็ง ๆ นอยด์ ๆ กับชีวิต ลองมาทำดีท็อกซ์กันค่ะ ส่วนการทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ก็ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าจะห่างจากสังคมออนไลน์กี่วัน บางคนอาจจะเริ่มแค่วันเดียวก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มวันเวลามากขึ้นเป็น 2 วัน 5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ แต่ยังไงเราก็ขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากกลับมาใช้ชีวิตเบสิก ๆ ทำดีท็อกซ์ได้สำเร็จ และกลับมามีชีวิตที่มีความสุขในอย่างที่ตัวเองเป็นนะคะ :)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
huffingtonpost
theguardian
dailytelegraph
yourmentalhealth
ติดโซเชียล
ยุคดิจิทัลอะไรก็ง่ายไปหมด นี่คือข้อดีของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างสื่อโซเชียลมีเดียที่ไว เข้าถึงง่าย และเป็นความบันเทิงของหลาย ๆ คน แต่เหรียญมีสองด้านฉันใดก็ฉันนั้น เพราะการเสพติดโซเชียลมีเดียมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ เศร้า ซึม หรือความรู้สึกด้านลบขึ้นมาได้ และหากใครรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตสักเท่าไรในช่วงนี้ ลองมารู้จักวิธีบำบัดจิตใจด้วยโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ บ้างไหมคะ เผื่อชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ คืออะไร
เราอาจจะรู้จักว่าการดีท็อกซ์คือการเอาสารพิษออกจากร่างกาย แล้วโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ล่ะคืออะไร อธิบายง่าย ๆ ได้ว่า โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ (Social Media Detox) หรือดิจิทัลดีท็อกซ์ (Digital Detox) เป็นการบำบัดอาการเสพติดโซเชียลมีเดียจนก่อให้เกิดความทุกข์ ง่าย ๆ ก็คือวิธีพาตัวเองออกห่างจากสมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นการพักใจ พักสมอง และเรียกคืนตัวเองกลับมา
ติดโซเชียล
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ใครควรทำบ้าง
ต้องยอมรับว่าทุกคนเล่นโซเชียลเกือบทั้งนั้น แล้วใครล่ะที่อาการน่าเป็นห่วง ควรทำดีท็อกซ์ตัวเองสักหน่อย ว่าแล้วก็เช็กอาการกันเลย
- เสพติดโซเชียลมีเดียขนาดหนัก เล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรมได้ทั้งวัน
- ทุกวันต้องโพสต์ข้อความ ถ่ายรูป อัปรูปลงโซเชียล
- รู้สึกกระวนกระวาย หงุดหงิด เมื่อไม่ได้เล่นโซเชียล คือถ้าแบตเตอรี่หมดนี่เหมือนพลังกายหมดไปด้วยเลย
- เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนในโซเชียล ตามติดชีวิตคนอื่นมากเกินไป
- มีความคาดหวังการยอมรับในสื่อสังคมออนไลน์ (ยอดไลก์ ยอดแชร์ เมื่อโพสต์สเตตัสหรือรูป)
- รู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองลดลงเมื่อไม่ได้รับการยอมรับในสังคมออนไลน์
- เล่นโซเชียลมีเดียแล้วไม่มีความสุข รู้สึกเซ็ง เบื่อชีวิต นอยด์ ๆ
- รู้สึกเครียด จิตตก กับการเสพข้อมูลข่าวสาร หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ มากเกินไป ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเรา
หากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้ลองทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ เพื่อเรียกคืนความสุขกลับมาให้ตัวเราเองค่ะ
ติดโซเชียล
โซเซียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ทำอย่างไร
วิธีทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ หรือดิจิทัล ดีท็อกซ์ ก็มีแนวทาง ดังนี้
1. ปิดโทรศัพท์มือถือ 1 วัน หรือเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ธรรมดาที่ไม่ใช่สมาร์ตโฟนอย่างน้อย 1 วัน
2. Log out เฟซบุ๊ก ไลน์ หรืออินสตาแกรมอย่างน้อย 1 วัน
ติดโซเชียล
3. ถ้าทำใจเลิกเล่นโซเชียลมีเดียไม่ได้ ให้ลองคัดเพื่อนในโซเชียลมีเดียให้เหลือแต่คนที่สนิทกันจริง ๆ
4. หากิจกรรมอื่นทำแทนเล่นโซเชียลมีเดีย
5. ออกท่องเที่ยวและสัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขด้วยสายตาตัวเอง โดยไร้ซึ่งสมาร์ตโฟน
ติดโซเชียล
6. ลองกลับไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบจริง ๆ
7. ปรับทัศนคติในการเล่นโซเชียลใหม่ จำไว้ว่าคนในโลกโซเชียลมักจะเสนอแต่แง่มุมดี ๆ ของตัวเองทั้งนั้น แต่จริง ๆ แล้วคนเราย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป
โซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ช่วยอะไรได้บ้าง
ข้อดีของโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ นอกจากจะทำให้เรามีเวลาในชีวิตมากขึ้นแล้ว ยังมีข้อดีตามนี้เลย
1. มีเวลาได้ทบทวนตัวเอง
ติดโซเชียล
การตัดโซเชียลมีเดียออกจากชีวิต จะเปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนตัวเอง ได้คิดถึงความสุขที่แท้จริงของตัวเอง โดยไม่เอาความสุขของเราไปเปรียบเทียบกับความสุขของใคร
2. ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
หากไม่ได้เล่นโซเชียลแล้ว เราก็จะมีเวลาได้หากิจกรรมสนุก ๆ อื่น ๆ ทำ เป็นการลองหาสิ่งที่ตัวเองชอบ และได้เพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ
3. นอนหลับได้ดีขึ้น
ติดโซเชียล
การเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นการรบกวนฮอร์โมนการนอนหลับของร่างกาย ดังนั้นใครที่นอนหลับไม่สนิทมานาน คราวนี้ก็จะได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่สักที
4. รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น
เมื่อก่อนเราอาจจะผูกตัวเองไว้กับเสียงแจ้งเตือนไลน์ หรือคอยกังวลว่าใครจะทวีตมา คอยเช็กว่ายอดไลก์ในไอจีจะเยอะไหม แต่พอเราตัดสังคมออนไลน์ออกจากชีวิต เราก็ไม่ต้องพะวงถึงสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เหมือนปลดแอกตัวเองจากบ่วงโซเชียลมีเดียเลยล่ะ
5. ได้ฝึกสมาธิ
หลายคนกลายเป็นคนสมาธิสั้นเมื่อมีพฤติกรรมติดสมาร์ตโฟน แบบทุก ๆ 5 นาทีต้องเช็กมือถือ กินข้าว เข้าห้องน้ำ หรือทำกิจกรรมอะไรก็ต้องเล่นมือถือตลอดเวลา แต่หลังจากทำดีท็อกซ์แล้วเราจะรู้จักโฟกัสสิ่งรอบ ๆ ตัวมากขึ้น ได้ฝึกสมาธิไปในตัว
6. กระชับความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว
ติดโซเชียล
วางมือถือแล้วมาจับมือคนที่อยู่ใกล้ตัวเราดีกว่านะคะ เปลี่ยนจากจ้องหน้าจอมาจ้องตา ดูสีหน้าคนในครอบครัว ใช้เวลาพูดคุยกันให้มากขึ้น เป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม
7. ได้ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น
ติดโซเชียล
การดูชีวิตคนอื่นผ่านสังคมออนไลน์มันเป็นการมองในด้านเดียวมาก ๆ ต่างจากการมองวิถีชีวิตของคนรอบ ๆ กาย อย่างตอนเช้าเราอาจได้เห็นความน่ารักของคู่แม่-ลูกบนรถไฟฟ้า หรือได้ยิ้มให้กับคนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินสวนกัน หรือได้ชื่มชมวิวดี ๆ กับแสงแดดยามเช้า เป็นต้น เห็นไหมว่าแค่เงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาก
8. คืนความเฮลธ์ตี้ให้ตัวเอง
ติดโซเชียล
นอกจากจะเป็นการพักสายตาแล้ว การห่างจากสมาร์ตโฟนยังช่วยถนอมการใช้ข้อมือของเราเองด้วย หรือบางคนที่วัน ๆ เอาแต่เล่นโซเชียลแล้วไม่ออกกำลังกาย ก็จะได้มีเวลาไปออกกำลังกายเพิ่มความสตรองให้สุขภาพบ้างแล้ว
9. รักตัวเองมากขึ้น
เมื่อไม่ต้องเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนในโลกออนไลน์ เราจะรู้สึกว่าชีวิตเราก็มีดี มีความสุข มีความชิลไปอีกแบบ และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารักตัวเองมากขึ้นนะคะ
ถ้าเล่นโซเชียลแล้วรู้สึกเซ็ง ๆ นอยด์ ๆ กับชีวิต ลองมาทำดีท็อกซ์กันค่ะ ส่วนการทำโซเชียลมีเดีย ดีท็อกซ์ ก็ขึ้นอยู่กับเราเลยว่าจะห่างจากสังคมออนไลน์กี่วัน บางคนอาจจะเริ่มแค่วันเดียวก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มวันเวลามากขึ้นเป็น 2 วัน 5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ แต่ยังไงเราก็ขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากกลับมาใช้ชีวิตเบสิก ๆ ทำดีท็อกซ์ได้สำเร็จ และกลับมามีชีวิตที่มีความสุขในอย่างที่ตัวเองเป็นนะคะ :)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
huffingtonpost
theguardian
dailytelegraph
yourmentalhealth
แหล่งที่มา เนื้อหา https://health.kapook.com/view84288.html
แหล่งที่มา วิดิโอ https://www.youtube.com/watch?v=M2EGyAwEwxM
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)